ถาม | การจัดหาระบบสารสนเทศแบบ "พัฒนาขึ้นเอง (In-house Development)" และ "ซื้อสำเร็จรูป (Commercial Off-the-Shelf - COTS)" มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร |
การพัฒนาขึ้นเอง (In-house Development):
* ข้อดี:
- ตรงตามความต้องการ: ระบบจะถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะขององค์กรโดยตรง
- ความยืดหยุ่น: สามารถแก้ไขหรือเพิ่มเติมฟังก์ชันการทำงานในอนาคตได้ง่าย
- ความเป็นเจ้าของ: องค์กรมีความเข้าใจและควบคุมเทคโนโลยีของตนเองได้อย่างสมบูรณ์
* ข้อเสีย:
- ต้นทุนสูงและใช้เวลานาน: ต้องใช้ทรัพยากรบุคคลและงบประมาณจำนวนมากในการพัฒนา
- ความเสี่ยงสูง: อาจเกิดความผิดพลาดในการออกแบบหรือพัฒนา ทำให้โครงการล้มเหลวได้
- การบำรุงรักษา: องค์กรต้องรับผิดชอบการบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
ซื้อสำเร็จรูป (Commercial Off-the-Shelf - COTS):
* ข้อดี:
- ต้นทุนต่ำและติดตั้งรวดเร็ว: ไม่ต้องเสียเวลาพัฒนาเอง สามารถนำไปใช้งานได้ทันที
- เชื่อถือได้: มักเป็นซอฟต์แวร์ที่ผ่านการทดสอบและใช้งานมาแล้ว
- การสนับสนุนจากผู้ขาย: มีการสนับสนุนทางเทคนิคและอัปเดตจากผู้ผลิต
* ข้อเสีย:
- ไม่ตรงตามความต้องการ: อาจมีฟังก์ชันการทำงานที่ไม่จำเป็น หรือขาดฟังก์ชันที่สำคัญบางอย่าง
- ความยืดหยุ่นต่ำ: การปรับแต่งแก้ไขทำได้จำกัดหรืออาจมีค่าใช้จ่ายสูง
- พึ่งพาผู้ขาย: องค์กรต้องพึ่งพาผู้ผลิตซอฟต์แวร์ในการอัปเดตและแก้ไขปัญหา
ถาม | ในขั้นตอนการติดตั้งระบบใหม่ มีวิธีการเปลี่ยนผ่าน (Conversion) จากระบบเก่าสู่ระบบใหม่อย่างไรบ้าง? และวิธีใดที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด |
ตอบ |
วิธีการเปลี่ยนผ่านจากระบบเก่าสู่ระบบใหม่มีหลายวิธี:
1. การเปลี่ยนผ่านโดยตรง (Direct Conversion): เป็นการหยุดใช้ระบบเก่าและเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่ทันทีในวันเดียว ข้อดี: รวดเร็ว ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงมาก หากระบบใหม่มีปัญหาจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานอย่างรุนแรง
2. การเปลี่ยนผ่านแบบขนาน (Parallel Conversion): เป็นการใช้งานทั้งระบบเก่าและระบบใหม่ควบคู่กันไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง ข้อดี: มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เพราะหากระบบใหม่มีปัญหา ยังคงมีระบบเก่าที่ใช้งานได้อยู่ ข้อเสีย: สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและแรงงานสูง
3. การเปลี่ยนผ่านแบบนำร่อง (Pilot Conversion): เป็นการติดตั้งระบบใหม่ในหน่วยงานนำร่องหรือสาขาเพียงแห่งเดียวก่อน เมื่อมั่นใจแล้วจึงค่อยขยายไปยังหน่วยงานอื่น ข้อดี: สามารถทดสอบระบบในสภาพแวดล้อมจริงได้โดยมีความเสี่ยงต่ำ ข้อเสีย: ใช้เวลานานกว่าจะใช้งานได้ครบทุกส่วน
4. การเปลี่ยนผ่านแบบแบ่งส่วน (Phased Conversion): เป็นการเปลี่ยนผ่านระบบใหม่ทีละส่วนงานหรือทีละฟังก์ชัน ข้อดี: มีความเสี่ยงต่ำกว่าแบบโดยตรง และสามารถบริหารจัดการได้ง่ายกว่า ข้อเสีย: อาจใช้เวลานานและต้องจัดการการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างระบบเก่าและใหม่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
วิธีที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดคือ การเปลี่ยนผ่านแบบขนาน เนื่องจากมีระบบเก่าเป็นตัวสำรองตลอดเวลา ทำให้มั่นใจได้ว่าการดำเนินงานจะไม่หยุดชะงักหากเกิดปัญหาในระบบใหม่
|
ถาม | อธิบายความสำคัญของการบำรุงรักษาระบบ (System Maintenance) และแบ่งประเภทของการบำรุงรักษาออกเป็นกี่ประเภท พร้อมยกตัวอย่างประกอบ |
ตอบ |
การบำรุงรักษาระบบมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะช่วยให้ระบบสารสนเทศสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงไป การละเลยการบำรุงรักษาจะทำให้ระบบล้าสมัย เสถียรภาพลดลง และอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
การบำรุงรักษาสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก:
1. การบำรุงรักษาเชิงแก้ไข (Corrective Maintenance): เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในระบบหลังจากการใช้งาน
- ตัวอย่าง: การแก้ไขบั๊ก (bug) ในโปรแกรมที่ทำให้การคำนวณผิดพลาด
2. การบำรุงรักษาเชิงปรับปรุง (Adaptive Maintenance): เป็นการปรับปรุงระบบให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การอัปเดตระบบปฏิบัติการ กฎหมาย หรือนโยบายธุรกิจ
- ตัวอย่าง: การแก้ไขระบบการเงินให้รองรับการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่เปลี่ยนไป
3. การบำรุงรักษาเชิงเพิ่มประสิทธิภาพ (Perfective Maintenance): เป็นการปรับปรุงระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานหรือเพิ่มฟังก์ชันใหม่ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้
- ตัวอย่าง: การเพิ่มฟีเจอร์การค้นหาข้อมูลที่เร็วขึ้น หรือการเพิ่มส่วนการสร้างรายงานแบบใหม่
4. การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance): เป็นการดำเนินการเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- ตัวอย่าง: การจัดทำสำรองข้อมูล (backup) หรือการลบไฟล์ข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกไปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบทำงานได้เสถียรขึ้น
|